7/2/07

The World is Flat ของ Thomas L. Friedman ตอนที่ 1

The World is Flat ของ Thomas L. Friedman ตอนที่ 1 โดย ชลิต ลิมปนะเวช
เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ Thomas L. Friedman ซึ่งเขียนหนังสือ โลกนี้แบน หรือ The World is Flat แม้ผมจะอ่านยังไม่หมดแต่ก็พลิกผ่านๆโดยกวาดสายตาไปในแต่ละบท เพื่อพยายามสรุปเนื้อหามาเขียนใน Column นี้ให้ได้ หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เป็นหนังสือใหม่ แต่เป็นหนังสือที่น่าสนใจ และผมเชื่อว่า มีหลายคนอาจยังไม่ได้อ่านมาก่อนก็ได้ เผอิญเป็นหนังสือที่ทาง Professorของโครงการปริญญาเอกในหลักสูตร DM-OD ที่ ABAC เขาแนะนำ ให้อ่าน ก็เลยทำให้สนใจ อยากเอาบางส่วนมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน

ในหนับสือโลกเราแบนนี้ โทมัส ได้พูดถึงว่า ทำไมโลกเราถึงแบน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทำไมเขาถึงเรียกว่า โลกแบน โดยความเป็นจริงแล้ว โลกที่
เราอาศัยอยู่นี้ ก็กลมมาจากอดีด และก็จะกลมแบบนี้ไปอีกล้านๆปี แต่ในความหมายที่บอกว่าโลกแบนนั้น ผู้เขียนหมายถึงการที่โลกเราทุกวันนี้ มีข้อจำกัดต่างๆน้อยลง การติดต่อสื่อสารสามารถกระทำได้ในพริบตา หรือแบบ Real-time ด้วยเทคโนโลยีของอินเตอร์เน็ท และการสื่อสาร ต่างหากที่ทำให้โลกนี้แบนลง หรือ เล็กลง

โทมัส ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือของเขาว่า มีแรง 10 อย่างที่ทำให้โลกนี้แบนลง

1. การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1989 เป็นเหมือนการปลดปล่อยจากการที่ถูกขังอยู่ภายในอาณาจักรคอมมิวนิสต์มานาน เป็นการเปลี่ยนความสมดุลไปสู่โลกแห่งประชาธิปไตยและการค้าเสรี นับเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้ระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมด้วยชัยชนะของฝ่ายแรก เมื่อสังคมนิยมหายไป มนุษย์ก็ต้องอยู่กับทุนนิยมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การทลายของกำแพงเบอร์ลินเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายของกำแพงอีกหลายประเทศ อย่างในอินเดีย หลังจากที่อินเดียหลุดพ้นจากการยึดครองของเครือจักรภพอังกฤษ ผู้นำอินเดียสมัยนั้น ไม่เคยเรียนรู้การบริหารประเทศมหึมาอย่างอินเดียมาก่อน จึงได้ส่งทีมงานไปศึกษาที่มอสโก หลังจากที่ทีมงามกลับมารายงานว่า รัสเซียมีความเจริญเพราะทุกอย่างเป็นของรัฐหมด รัฐบาลอินเดียก็นำเอานโยบายเหล่านั้นมาใช้ ปรากฏว่า แทนที่จะทำให้อินเดียดีขึ้น กลับแย่ลง ในปี 1991 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของอินเดีย มีแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อกำแพงเบอร์ลินทลายลง รัฐบาลอินเดียเริ่มเห็นแสงสว่าง จึงเปลี่ยนนโยบายประเทศ ให้ประชาชนมีการแข่งขันกันทางการค้าอย่างเสรี ธุรกิจต่างๆไม่จำเป็นต้องเป็นของรัฐอีกต่อไป กฎเกณฑ์ทางการค้าต่างๆถูกยกเลิก มีการส่งเสริมและให้เสรีกับประชาชนมากขึ้น ประชาชนไปศึกษาและเรียนรู้ที่อเมริกามากขี้น ภายใน 3 ปีต่อมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียพุ่งจาก 3 % เป็น 7 % ต่อปีทันที คนรวยเริ่มมีมากขึ้น เงินทุนสำรองของอินเดียได้เพีมขึ้นจาก 1,000 ล้านเหรียญเป็น 118,000 ล้านเหรียญ

2. เป็นยุคของ Connectivity เมื่อ Netscape เปิดตัวเป็นครั้งแรก
เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อเชื่อมแบบ Internet base จากเมื่อก่อนที่เป็นแบบ PC-BASED เหตุการณ์ยุคนี้เกิดขึ้นพร้อมกันกับการก่อกำเนิดของ Internet ในปี 1990 ทำให้การสื่อสาร การติดต่อ ง่ายขึ้นมากมาย ผู้คนเริ่มติดต่อ ต่อเชื่อมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งข้อมูล กระทำได้ในพริบตา โดยทาง World Wide Web และทาง Email เป็นต้น หลังจากที่ Netscape ได้รับความนิยมอย่างสูง จากนั้น ก็ตามมาด้วย การเปิดตัวของ Windows 95 และ Internet Explorer ของ Microsoft และภายหลัง ได้มีการเปิดตัวของ Apple Computer และจากความเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของ Apple-PC-Windows นี้ ทำให้ผู้คนสามารถติดต่อได้กับบริษัทของตัวเอง กับกลุ่มคนเฉพาะภายในองค์กรตัวเอง หรือกับผู้คนทั่วทั้งโลก ปรากฏการณ์เหล่านี้ โทมัส เรียกมันว่า เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โลกเสมือนแบนลง


3. Work Flow Software
ในยุคที่ 3 นี้ เป็นยุคที่บรรดา Software House ได้เกิดขึ้นมากมาย Work Flow Software นี้ช่วยให้ work flow ก้าวกระโดดไปข้างหน้า ยกตัวอย่าง ฝ่ายขายของบริษัทแห่งหนึ่ง รับออร์เดอร์ลูกค้าทางอีเมล์ แล้วก็สามารถส่งต่อไปยังฝ่ายขนส่งสินค้า เพื่อให้จัดส่งสินค้าแก่ลูกค้าพร้อมกับใบเสร็จที่พิมพ์ออกมาได้ทันที และเมื่อสินค้าถูกขายไปแล้วโปรแกรมเช็คสต็อคสินค้าก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่าต้องสั่งสินค้าตัวนี้มาสต็อคเพิ่มมันจึงส่งคำสั่งไปยัง supplier ได้เองโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี การที่ฝ่ายต่างๆในบริษัทจะทำงานร่วมกัน (interoperate) ได้โดยไม่เกิดการติดขัดใน work flow ทุกฝ่ายในบริษัทจำต้องใช้ ระบบ software และ hardware ที่เหมือนกันทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน การ interoperate ข้ามบริษัทก็ต้อง
ใช้ระบบเดียวกันจึงจะต่อกันได้ Work flow software เป็นเหมือนการทำให้คอมพิวเตอร์สื่อสารกันเองได้ โดยเราแค่บอกสิ่งที่เราต้องการแล้วมันก็จะหา “ เพื่อนๆ ” คอมพิวเตอร์ของมันมาช่วยทำงานจนเสร็จ ( ที่สำคัญมันต้องพูด
กันรู้เรื่อง คือ มี standard เดียวกัน )

ตัวอย่างที่ทันสมัยอันหนึ่งคือ PayPal ที่ทำให้ eBay ทำ e-commerce ได้สำเร็จใหญ่หลวง PayPal เป็นระบบการโอนเงินที่มีการก่อตั้งในปี 1998 เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรม แบบ C2C (Customer-to-Customer) ของ eBay ใครๆที่มี email address ก็สามารถส่ง เงินให้ผู้อื่น ผ่านบริการ PayPal ได้ แม้ว่าผู้รับจะมีบัญชี PayPal หรือไม่ก็ตาม ในการ ซื้อขายสินค้า ผู้ซื้อ สามารถเลือกจ่ายเงินผ่าน PayPal ได้ 3 แบบ คือ 1) ผ่านเครดิตการ์ด 2) หักบัญชีเช็ค 3) หัก จากบัญชี PayPal ที่เปิดไว้ล่วงหน้า ส่วนผู้ขายก็จะสามารถเลือกรับเงินได้หลายทาง ได้แก่ 1) เข้าบัญชี PayPal ( ถ้ามี ) 2) รับเป็นเช็ค 3) ฝากเข้าบัญชีเช็คของผู้รับ การเปิดบัญชี PayPal ก็ ง่ายๆ ถ้าคุณต้องเป็นคนจ่ายเงิน คุณก็แค่แจ้งชื่อ e-mail address ข้อมูลเครดิตการ์ด และที่อยู่ ตามบิลล์เครดิตการ์ด

Platform ของ Software เหล่านี้ ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการออกลูกออกหลานตามมามากมายใน การติดต่อสื่อสาร ร่วมมือกันเช่น การทำ Uploading, Out-sourcing, Offshoring, Supply- Chaining, Insourcing และ in-forming เป็นต้น

4. Uploading – Open Source
เมื่อ Apache ( อปาเช่ ) ที่เป็น shareware โปรแกรมเกี่ยวกับ e-commerce อันหนึ่ง ที่ใครๆก็ดาวน์โหลดได้ฟรี ทางอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้น ทำให้บรรดานักพัฒนา Software ต่างพากันไป download มาใช้

Apache เกิดจากการที่นักพัฒนา software หลายพันคนทั่วโลกร่วมกันทำงาน on-line พัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นมา มันเป็นตัวอย่างหนึ่งของ Open-source movement ที่ไม่ได้จำกัด อยู่เพียงแค่การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น

คำว่า Open-Source มาจากแนวคิดที่บริษัทหรือกลุ่มคนได้เปิด source code ( คือคำสั่งทาง คอมพิวเตอร์ที่ทำให้โปรแกรมหนึ่งๆทำงานได้ บริษัทที่ทำโปรแกรมขายจะรักษาความลับ ของ source code ไว้ เพราะถือเป็นหัวใจของโปรแกรมแต่ละโปรแกรม ) ให้ทุกคนสามารถ ใช้ได้บนอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ใครก็ได้ มาช่วยกันปรับปรุง แล้วก็เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้ได้ ฟรี มี Open-source movement หลักๆ 2 กระแส

1. การแชร์ความรู้ (intellectual commons movement) คล้ายกับ network ของ นักวิชาการ เพียงแต่เปิดกว้างให้ใครๆก็เข้าร่วมได้ ทำให้
เพิ่มโอกาสที่จะมีคนเข้ามา แชร์ความรู้ และ การพัฒนาขององค์ความรู้ ตัวอย่างเช่น การเขียน Weblog หรือการ พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งของ สารานุกรมออนไลน์ wikipedia ( ถ้าคุณยังไม่ค่อย แน่ใจว่า Weblog คืออะไร ก็ลองเข้าไปหาข้อมูลดูได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page ---- ภาณุภาคย์ ) ที่เปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับทุกๆหัวเรื่องเข้ามาเพิ่มเติม

2. การร่วมกันพัฒนา free software ( ดูตัวอย่าง Apache ที่กล่าวไปแล้ว ) เป้าหมาย แรกเริ่มคือ ให้มีคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะ
เป็นไปได้มาร่วมกันเขียน ปรับปรุง เผยแพร่โปรแกรมออกไปสู่ผู้ใช้โดยไม่คิดเงิน ซึ่งเป็นการทำให้ปัจเจกบุคคลมีพลังมาก ขึ้นด้วยการร่วมมือ
กันกับใครๆก็ได้ในโลกนี้

ตัวอย่างของ open-source free software ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จที่สุด จน ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ยังต้องปรายตามาดู ก็คือ Linux Operating System ( ระบบปฏิบัติการลีนุกส์ ) หรือที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ก็คือ web browser ที่ชื่อว่า Firefox

5. Outsourcing การทำ outsourcing
เป็นการมอบหมาย หรือ จ้างให้คนนอกบริษัททำงานบางอย่างให้เรา ซึ่งเป็นงานที่เราเคยทำเองอยู่ในบริษัทของเรา ( เช่น วิจัย , call centre, ติดตามเก็บเงินลูกค้า ) ดังนั้นเราอาจมองได้ว่า Outsourcing ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำงานร่วมกัน

ผู้เขียนได้ยกกรณีของอินเดีย ให้เห็นเป็นตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการ Outsource โดย เล่าให้ฟังว่า ความเจริญของอินเดีย เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ ที่เฉียบคมของผู้นำในอดีต โดย การส่งเสริมการศึกษาของประชาชน ที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และแพทยศาสตร์ เริ่มจากการตั้ง Indian Institutes of Technology (IIT) ของนายกฯเนรู การที่อินเดียมี ประชากรกว่า 1 พันล้านคน ทำให้เยาวชนต้องแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อโอกาส เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ทำให้มีแต่คนชั้นหัวกะทิจริงๆที่จบมาได้

การส่งเสริมคุณภาพคนอย่างต่อเนื่อง เปรียบได้กับการเตรียมความพร้อมของคนไว้ รอ เพียงแต่จังหวะโอกาสเหมาะที่จะเข้ามา ซึ่งในที่สุดโอกาสทอง
ของอินเดียก็มาถึง นั่นคือ การที่ อเมริกาเร่งนำเข้าคน IT จากอินเดียเพื่อป้องกันปัญหา Y2K ที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ในวินาทีที่โลกก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ จากการมีความสามารถแต่ค่าจ้าง ถูก ทำให้คน IT อินเดียที่อยู่ในอเมริกาเหล่านี้หางานทำได้ง่าย และยังนำไปสู่การ outsource งาน IT อื่นๆจากสหรัฐไปยังอินเดีย เหตุการณ์นี้ทำให้อินเดียมีชื่อเสียงขึ้นมา ทางด้านแรงงาน ฝีมือทาง IT ที่มีความรู้ความสามารถ

ผู้เขียนถึงกับกล่าวว่า ถ้าวันที่ 15 สิงหาคม ถือเป็นวันประกาศอิสรภาพของประเทศอินเดีย แล้ว วินาทีที่โลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษที่ 3 นี้ก็อาจถือได้ว่าเป็น
การประกาศอิสรภาพแก่ผู้คนชาว อินเดีย

ฉบับนี้ขอจบแค่นี้ก่อน พบกันใหม่ในอีก 5 ข้อของ โทมัส เอล ฟริกแมน ในฉบับหน้าครับ

No comments:

 
บทความนี้เป็นลิขสิทธ์ของ นายนพดล ก๊กเครือ หากต้องการนำไปเผยแพร่ กรุณาแจ้งด้วยครับ Golf@capmoo.com
Copyright © 2007 by แคบหมูดอทคอม. All rights reserved.