7/2/07

The World is Flat ของ Thomas L. Friedman ตอนที่ 1

The World is Flat ของ Thomas L. Friedman ตอนที่ 1 โดย ชลิต ลิมปนะเวช
เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ Thomas L. Friedman ซึ่งเขียนหนังสือ โลกนี้แบน หรือ The World is Flat แม้ผมจะอ่านยังไม่หมดแต่ก็พลิกผ่านๆโดยกวาดสายตาไปในแต่ละบท เพื่อพยายามสรุปเนื้อหามาเขียนใน Column นี้ให้ได้ หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เป็นหนังสือใหม่ แต่เป็นหนังสือที่น่าสนใจ และผมเชื่อว่า มีหลายคนอาจยังไม่ได้อ่านมาก่อนก็ได้ เผอิญเป็นหนังสือที่ทาง Professorของโครงการปริญญาเอกในหลักสูตร DM-OD ที่ ABAC เขาแนะนำ ให้อ่าน ก็เลยทำให้สนใจ อยากเอาบางส่วนมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน

ในหนับสือโลกเราแบนนี้ โทมัส ได้พูดถึงว่า ทำไมโลกเราถึงแบน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทำไมเขาถึงเรียกว่า โลกแบน โดยความเป็นจริงแล้ว โลกที่
เราอาศัยอยู่นี้ ก็กลมมาจากอดีด และก็จะกลมแบบนี้ไปอีกล้านๆปี แต่ในความหมายที่บอกว่าโลกแบนนั้น ผู้เขียนหมายถึงการที่โลกเราทุกวันนี้ มีข้อจำกัดต่างๆน้อยลง การติดต่อสื่อสารสามารถกระทำได้ในพริบตา หรือแบบ Real-time ด้วยเทคโนโลยีของอินเตอร์เน็ท และการสื่อสาร ต่างหากที่ทำให้โลกนี้แบนลง หรือ เล็กลง

โทมัส ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือของเขาว่า มีแรง 10 อย่างที่ทำให้โลกนี้แบนลง

1. การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1989 เป็นเหมือนการปลดปล่อยจากการที่ถูกขังอยู่ภายในอาณาจักรคอมมิวนิสต์มานาน เป็นการเปลี่ยนความสมดุลไปสู่โลกแห่งประชาธิปไตยและการค้าเสรี นับเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้ระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมด้วยชัยชนะของฝ่ายแรก เมื่อสังคมนิยมหายไป มนุษย์ก็ต้องอยู่กับทุนนิยมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การทลายของกำแพงเบอร์ลินเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายของกำแพงอีกหลายประเทศ อย่างในอินเดีย หลังจากที่อินเดียหลุดพ้นจากการยึดครองของเครือจักรภพอังกฤษ ผู้นำอินเดียสมัยนั้น ไม่เคยเรียนรู้การบริหารประเทศมหึมาอย่างอินเดียมาก่อน จึงได้ส่งทีมงานไปศึกษาที่มอสโก หลังจากที่ทีมงามกลับมารายงานว่า รัสเซียมีความเจริญเพราะทุกอย่างเป็นของรัฐหมด รัฐบาลอินเดียก็นำเอานโยบายเหล่านั้นมาใช้ ปรากฏว่า แทนที่จะทำให้อินเดียดีขึ้น กลับแย่ลง ในปี 1991 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของอินเดีย มีแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อกำแพงเบอร์ลินทลายลง รัฐบาลอินเดียเริ่มเห็นแสงสว่าง จึงเปลี่ยนนโยบายประเทศ ให้ประชาชนมีการแข่งขันกันทางการค้าอย่างเสรี ธุรกิจต่างๆไม่จำเป็นต้องเป็นของรัฐอีกต่อไป กฎเกณฑ์ทางการค้าต่างๆถูกยกเลิก มีการส่งเสริมและให้เสรีกับประชาชนมากขึ้น ประชาชนไปศึกษาและเรียนรู้ที่อเมริกามากขี้น ภายใน 3 ปีต่อมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียพุ่งจาก 3 % เป็น 7 % ต่อปีทันที คนรวยเริ่มมีมากขึ้น เงินทุนสำรองของอินเดียได้เพีมขึ้นจาก 1,000 ล้านเหรียญเป็น 118,000 ล้านเหรียญ

2. เป็นยุคของ Connectivity เมื่อ Netscape เปิดตัวเป็นครั้งแรก
เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อเชื่อมแบบ Internet base จากเมื่อก่อนที่เป็นแบบ PC-BASED เหตุการณ์ยุคนี้เกิดขึ้นพร้อมกันกับการก่อกำเนิดของ Internet ในปี 1990 ทำให้การสื่อสาร การติดต่อ ง่ายขึ้นมากมาย ผู้คนเริ่มติดต่อ ต่อเชื่อมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งข้อมูล กระทำได้ในพริบตา โดยทาง World Wide Web และทาง Email เป็นต้น หลังจากที่ Netscape ได้รับความนิยมอย่างสูง จากนั้น ก็ตามมาด้วย การเปิดตัวของ Windows 95 และ Internet Explorer ของ Microsoft และภายหลัง ได้มีการเปิดตัวของ Apple Computer และจากความเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของ Apple-PC-Windows นี้ ทำให้ผู้คนสามารถติดต่อได้กับบริษัทของตัวเอง กับกลุ่มคนเฉพาะภายในองค์กรตัวเอง หรือกับผู้คนทั่วทั้งโลก ปรากฏการณ์เหล่านี้ โทมัส เรียกมันว่า เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โลกเสมือนแบนลง


3. Work Flow Software
ในยุคที่ 3 นี้ เป็นยุคที่บรรดา Software House ได้เกิดขึ้นมากมาย Work Flow Software นี้ช่วยให้ work flow ก้าวกระโดดไปข้างหน้า ยกตัวอย่าง ฝ่ายขายของบริษัทแห่งหนึ่ง รับออร์เดอร์ลูกค้าทางอีเมล์ แล้วก็สามารถส่งต่อไปยังฝ่ายขนส่งสินค้า เพื่อให้จัดส่งสินค้าแก่ลูกค้าพร้อมกับใบเสร็จที่พิมพ์ออกมาได้ทันที และเมื่อสินค้าถูกขายไปแล้วโปรแกรมเช็คสต็อคสินค้าก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่าต้องสั่งสินค้าตัวนี้มาสต็อคเพิ่มมันจึงส่งคำสั่งไปยัง supplier ได้เองโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี การที่ฝ่ายต่างๆในบริษัทจะทำงานร่วมกัน (interoperate) ได้โดยไม่เกิดการติดขัดใน work flow ทุกฝ่ายในบริษัทจำต้องใช้ ระบบ software และ hardware ที่เหมือนกันทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน การ interoperate ข้ามบริษัทก็ต้อง
ใช้ระบบเดียวกันจึงจะต่อกันได้ Work flow software เป็นเหมือนการทำให้คอมพิวเตอร์สื่อสารกันเองได้ โดยเราแค่บอกสิ่งที่เราต้องการแล้วมันก็จะหา “ เพื่อนๆ ” คอมพิวเตอร์ของมันมาช่วยทำงานจนเสร็จ ( ที่สำคัญมันต้องพูด
กันรู้เรื่อง คือ มี standard เดียวกัน )

ตัวอย่างที่ทันสมัยอันหนึ่งคือ PayPal ที่ทำให้ eBay ทำ e-commerce ได้สำเร็จใหญ่หลวง PayPal เป็นระบบการโอนเงินที่มีการก่อตั้งในปี 1998 เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรม แบบ C2C (Customer-to-Customer) ของ eBay ใครๆที่มี email address ก็สามารถส่ง เงินให้ผู้อื่น ผ่านบริการ PayPal ได้ แม้ว่าผู้รับจะมีบัญชี PayPal หรือไม่ก็ตาม ในการ ซื้อขายสินค้า ผู้ซื้อ สามารถเลือกจ่ายเงินผ่าน PayPal ได้ 3 แบบ คือ 1) ผ่านเครดิตการ์ด 2) หักบัญชีเช็ค 3) หัก จากบัญชี PayPal ที่เปิดไว้ล่วงหน้า ส่วนผู้ขายก็จะสามารถเลือกรับเงินได้หลายทาง ได้แก่ 1) เข้าบัญชี PayPal ( ถ้ามี ) 2) รับเป็นเช็ค 3) ฝากเข้าบัญชีเช็คของผู้รับ การเปิดบัญชี PayPal ก็ ง่ายๆ ถ้าคุณต้องเป็นคนจ่ายเงิน คุณก็แค่แจ้งชื่อ e-mail address ข้อมูลเครดิตการ์ด และที่อยู่ ตามบิลล์เครดิตการ์ด

Platform ของ Software เหล่านี้ ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการออกลูกออกหลานตามมามากมายใน การติดต่อสื่อสาร ร่วมมือกันเช่น การทำ Uploading, Out-sourcing, Offshoring, Supply- Chaining, Insourcing และ in-forming เป็นต้น

4. Uploading – Open Source
เมื่อ Apache ( อปาเช่ ) ที่เป็น shareware โปรแกรมเกี่ยวกับ e-commerce อันหนึ่ง ที่ใครๆก็ดาวน์โหลดได้ฟรี ทางอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้น ทำให้บรรดานักพัฒนา Software ต่างพากันไป download มาใช้

Apache เกิดจากการที่นักพัฒนา software หลายพันคนทั่วโลกร่วมกันทำงาน on-line พัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นมา มันเป็นตัวอย่างหนึ่งของ Open-source movement ที่ไม่ได้จำกัด อยู่เพียงแค่การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น

คำว่า Open-Source มาจากแนวคิดที่บริษัทหรือกลุ่มคนได้เปิด source code ( คือคำสั่งทาง คอมพิวเตอร์ที่ทำให้โปรแกรมหนึ่งๆทำงานได้ บริษัทที่ทำโปรแกรมขายจะรักษาความลับ ของ source code ไว้ เพราะถือเป็นหัวใจของโปรแกรมแต่ละโปรแกรม ) ให้ทุกคนสามารถ ใช้ได้บนอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ใครก็ได้ มาช่วยกันปรับปรุง แล้วก็เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้ได้ ฟรี มี Open-source movement หลักๆ 2 กระแส

1. การแชร์ความรู้ (intellectual commons movement) คล้ายกับ network ของ นักวิชาการ เพียงแต่เปิดกว้างให้ใครๆก็เข้าร่วมได้ ทำให้
เพิ่มโอกาสที่จะมีคนเข้ามา แชร์ความรู้ และ การพัฒนาขององค์ความรู้ ตัวอย่างเช่น การเขียน Weblog หรือการ พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งของ สารานุกรมออนไลน์ wikipedia ( ถ้าคุณยังไม่ค่อย แน่ใจว่า Weblog คืออะไร ก็ลองเข้าไปหาข้อมูลดูได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page ---- ภาณุภาคย์ ) ที่เปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับทุกๆหัวเรื่องเข้ามาเพิ่มเติม

2. การร่วมกันพัฒนา free software ( ดูตัวอย่าง Apache ที่กล่าวไปแล้ว ) เป้าหมาย แรกเริ่มคือ ให้มีคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะ
เป็นไปได้มาร่วมกันเขียน ปรับปรุง เผยแพร่โปรแกรมออกไปสู่ผู้ใช้โดยไม่คิดเงิน ซึ่งเป็นการทำให้ปัจเจกบุคคลมีพลังมาก ขึ้นด้วยการร่วมมือ
กันกับใครๆก็ได้ในโลกนี้

ตัวอย่างของ open-source free software ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จที่สุด จน ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ยังต้องปรายตามาดู ก็คือ Linux Operating System ( ระบบปฏิบัติการลีนุกส์ ) หรือที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ก็คือ web browser ที่ชื่อว่า Firefox

5. Outsourcing การทำ outsourcing
เป็นการมอบหมาย หรือ จ้างให้คนนอกบริษัททำงานบางอย่างให้เรา ซึ่งเป็นงานที่เราเคยทำเองอยู่ในบริษัทของเรา ( เช่น วิจัย , call centre, ติดตามเก็บเงินลูกค้า ) ดังนั้นเราอาจมองได้ว่า Outsourcing ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำงานร่วมกัน

ผู้เขียนได้ยกกรณีของอินเดีย ให้เห็นเป็นตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการ Outsource โดย เล่าให้ฟังว่า ความเจริญของอินเดีย เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ ที่เฉียบคมของผู้นำในอดีต โดย การส่งเสริมการศึกษาของประชาชน ที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และแพทยศาสตร์ เริ่มจากการตั้ง Indian Institutes of Technology (IIT) ของนายกฯเนรู การที่อินเดียมี ประชากรกว่า 1 พันล้านคน ทำให้เยาวชนต้องแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อโอกาส เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ทำให้มีแต่คนชั้นหัวกะทิจริงๆที่จบมาได้

การส่งเสริมคุณภาพคนอย่างต่อเนื่อง เปรียบได้กับการเตรียมความพร้อมของคนไว้ รอ เพียงแต่จังหวะโอกาสเหมาะที่จะเข้ามา ซึ่งในที่สุดโอกาสทอง
ของอินเดียก็มาถึง นั่นคือ การที่ อเมริกาเร่งนำเข้าคน IT จากอินเดียเพื่อป้องกันปัญหา Y2K ที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ในวินาทีที่โลกก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ จากการมีความสามารถแต่ค่าจ้าง ถูก ทำให้คน IT อินเดียที่อยู่ในอเมริกาเหล่านี้หางานทำได้ง่าย และยังนำไปสู่การ outsource งาน IT อื่นๆจากสหรัฐไปยังอินเดีย เหตุการณ์นี้ทำให้อินเดียมีชื่อเสียงขึ้นมา ทางด้านแรงงาน ฝีมือทาง IT ที่มีความรู้ความสามารถ

ผู้เขียนถึงกับกล่าวว่า ถ้าวันที่ 15 สิงหาคม ถือเป็นวันประกาศอิสรภาพของประเทศอินเดีย แล้ว วินาทีที่โลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษที่ 3 นี้ก็อาจถือได้ว่าเป็น
การประกาศอิสรภาพแก่ผู้คนชาว อินเดีย

ฉบับนี้ขอจบแค่นี้ก่อน พบกันใหม่ในอีก 5 ข้อของ โทมัส เอล ฟริกแมน ในฉบับหน้าครับ

6/17/07

Google Analytics จากเวอร์ชั่น beta จนล่าสุดเป็นเวอร์ชั่นจริงแล้ว

Google ได้อัพเดทบริการ Google Analytics จากเวอร์ชั่น beta จนล่าสุดเป็นเวอร์ชั่นจริงแล้ว โดยมีการเพิ่มฟังก์ชั่นใช้งานใหม่ๆเข้าไป

โดยต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Google Analytics ได้ถูกปรับเวอร์ชั่นจากเวอร์ชั่น beta เป็นเวอร์ชั่นจริงแล้ว ซึ่ง Google Analytics นั้นเป็นบริการใช้ตรวจสอบเวบไซต์ ที่จะใช้วิเคราะห์ข้อมูลใช้งานต่างๆของเวบไซต์แต่ละแห่งอย่างละเอียด โดยก่อนหน้านี้บริการดังกล่าวจะมีการเก็บค่าใช้บริการ และถูกเรียกว่า Urchin On Demand หลังจากที่ Google เข้าซื้อกิจการของ Urchin มาแล้ว ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Google Analytics ในปี 2005 และเปิดให้ใช้บริการได้ฟรีหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยใน Google Analytics เวอร์ชั่นจริงที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้นจะมีการเพิ่มฟังก์ชั่นดูจำนวนการเข้าใช้งานเวบได้เป็นรายชั่วโมง รวมถึงสามารถคลิ๊กลิ้งค์ได้จากหน้ารายงานผลของ Google Analytics และยังสามารถทำรายงานแบบ cross-segment ตามเครือข่ายได้
google anlytic นับเป็นเครื่องมือที่ผมชื่นชอบตัวนึงใน series ของ google service ครับเพราะมันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องมามัวคาดเดาข้อมูลต่างๆเอง ทำให้สามารถเตรียมตัวรับมือหรือ เพิ่มเติมกลยุทธ์ในเว็บของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แหล่งข่าว http://www.techweb.com/

6/14/07

Search Engine, Map, Video,.... and Betting What next???


ที่มา :http://finance.yahoo.com

ไมเคิล โจนส์ ประธานฝ่ายเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ภูมิศาสตร์ของกูเกิล "กูเกิลเอิร์ธ (Google Earth)" กล่าวถึงเรื่องนี้ในงาน Fifth International Symposium on Digital Earth งานประชุมเทคโนโลยีโลกดิจิตอลนานาชาติซึ่งจัดขึ้นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า จำนวนผู้ดาวน์โหลดโปรแกรมกูเกิลเอิร์ธไปใช้งาน 200 ล้านคนนั้นมากกว่าประชากรของประเทศบราซิล ซึ่งสามารถทำสถิติเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลกด้วยจำนวนประชากร 188 ล้านคน

หึหึ ผมขอหัวเราะออกมาเล็กน้อยครับ นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มตั้นเท่านั้นเอง จาก GOOG (หุ้นกูเกิล) ตั้งแต่เปิดตัวออกมาราคาก็ไม่ได้โดเด่นเท่าไหร่ แต่ปัจจุบันมันมีค่ายิ่งกว่าทองไปแล้ว
General 2006 2005 2004 2003 2002 2001
Total Revenues, $M:10604.9 6138.6 3189.2 1465.9 439.5 86.4
ที่มา : http://www.barchart.com
ก็ดูรายได้สิครับ แหมมันบินขึ้นฟ้ายังกับยานอวกาศเลย

เอาละครับมาดูกันดีกว่าครับกูเกิลจะมีอะไรให้เราเล่นอีก แล้วเค้าจะสร้างรายได้จากบริการใหม่ๆรึไม่???
Betting on Google's next move
มาแล้วครับ ถึงโลกของการพนันขันต่อแล้ว กูเกิลโดดลงตลาดนี้แล้วรับรองได้ว่างานนี้ตลาดข้อมูลคึกคักแน่นอน เพราะไม่นานนี้เองกูเกิลได้เข้าซื้อ Bodog.com ที่เป็นเว็บบริการการพนันแห่งนึง

แล้วก็ขำขำครับ ตอนนี้ หัวข้อที่น่าสนใจคือ Which company will Google buy out next? เอาละมีพนันกันด้วยนะว่าจะเข้าซื้อใครเป็นรายต่อไป
Facebook,
Pandora Media, Inc.,
Automattic, Inc.
Netflix, Inc.,
Tucows, Inc.,
CNet Networks Inc.,
GoDaddy.com, Inc,
Kontera Technologies, Inc.,
Vibrant Media, Inc.,
CondeNet, Inc.,และ
Associated Press
โดยเค้าบอกว่าบริษัทเหล่านี้จะถูกซื้อใน 31 ธันวาคม 2007 นี้เอง

6/7/07

แนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์เหลือเฟือ หรือ Abundance Economy


The Long Tail
ผู้เขียน: Chris Anderson
ผู้จัดพิมพ์: Hyperion
จำนวนหน้า: 238
ราคา: ฿538
ไปอ่านๆเว็บมาก็ไปเจอหนังสือน่าอ่านมาเลยเอามาแนะนำครับ เท่าที่ดูบทนำแล้วคิดว่าน่าสนใจมากทีเดียวครับ

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เรียนมาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นบรรณาธิการนิตยสารด้านไอทีชื่อดังของสหรัฐฯ แต่กล้าหาญนำเอาแนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์มาถอดรหัสเสียใหม่ แล้วก็ย่อยออกมาเป็นโมเดลทางธุรกิจในยุคเทคโนโลยีดิจิตอลที่น่าสนใจ และชวนให้ทึ่งพอสมควร

ใครเลยจะเชื่อว่า การหยิบเอาเส้นดีมานด์ ซึ่งเป็นเส้นจินตนาการทางด้านอุปสงค์ของเศรษฐศาสตร์ธรรมดา แล้วมาขยายความต่อยอดเอาว่า การเข้าสู่ธุรกิจของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นั้น มีทางออกเป็นความหวังได้มากมาย ด้วยเหตุผลหลักที่เป็นรากฐานคือ ทำลายแนวคิดเก่าแก่ที่ว่า "ทรัพยากรมีจำกัด ความต้องการไม่จำกัด" หรือเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการขาดแคลนทิ้งไป แล้ว เข้าสู่แนวคิดทวนกระแส ว่าด้วยเศรษฐศาสตร์เหลือเฟือ

แนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์เหลือเฟือ หรือ Abundance Economy อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ นักคิดอเมริกันเก่าแก่อย่างลูอิส มัมฟอร์ด ก็เคยเสนอเอาไว้อย่างหยาบๆ มาก่อน แต่ผู้เขียน หนังสือนี้เอามาประยุกต์ใช้เสียใหม่ โดยมองเห็นเชิงจินตนาการว่า เทคโนโลยีการผลิตร่วมสมัย ได้ก้าวหน้าไปมากเสียจนกระทั่งการขาดแคลนนั้น เป็นแค่วงจรขาขึ้นของธุรกิจเท่านั้น ด้านกลับของวงจรก็คือ การเหลือเฟือ ในช่วงธุรกิจเป็นวงจรขาลง

เขามองว่า ในยามที่เส้นดีมาน์เอียง 45 องศาหรือมากกว่า (ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์) การที่ธุรกิจจะเลือกเข้าสู่ตลาด ถือเป็นจังหวะที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะช่วงนั้นราคาจะผันผวน หรือมีความยืดหยุ่นต่อปริมาณสูงมาก

ข้อเสนอของเขาก็คือ การเข้าสู่ตลาดในยามที่ตลาดกำลัง "เย็น" หมายถึงมีคนออกจากตลาดไปมากและรายใหญ่ก็ไม่สนใจ เพราะมองว่าไม่คุ้มเนื่องจากตลาดมีการหดตัวลง เป็นจังหวะที่ตลาดถือว่ามีเสถียรภาพด้านราคาสูงมาก การแนะนำอุปทานสินค้า ใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ไม่ส่งผลต่อส่วนต่างของผลตอบแทนแต่อย่างใด

ภาวะ "ตลาดเย็น" ที่ว่านั้น หากมองจากกราฟเส้นดีมานด์ จะเห็นว่าเป็นจังหวะที่เส้นเริ่มแบนราบลงไปและตลาดมีขนาดเล็ก มากคล้ายกับเป็นส่วนหางของกราฟ จึงเป็นที่มาของคำว่า The Long Tail ของผู้เขียน

จากมุมของผู้เขียนจะเห็นชัดเจนว่า เขากำลังแนะนำให้ผู้ค้าสินค้ารายใหม่มองหาช่องทางในการสร้างตลาดจำเพาะที่กำลังถูกมองข้ามขึ้นมา ตัวอย่างที่เป็นกรณีศึกษาของเขาที่ยกขึ้นมาและประสบความสำเร็จ เช่น ธุรกิจค้าหนังสือเก่า หรือค้า สินค้าจำเพาะที่หลายคนเชื่อว่าน่าจะอยู่ในภาวะตลาดวายแล้ว ก็ยืนยันได้ดีว่า โอกาสของความสำเร็จนั้นอยู่ที่การถอดรหัสของ ตลาดให้ได้

กุญแจสำคัญของผู้เขียนในการสร้างตลาดจำเพาะให้ประสบความสำเร็จอยู่ที่การสร้าง "ปรากฏการณ์" เพื่อประดิษฐ์ดีมานด์ของตลาดขึ้นมา ไม่ใช่การปล่อยให้ตลาดเกิดขึ้นตามธรรมชาติ

จากนั้นด้วยกฎ 3 ข้อของทฤษฎีที่ผู้เขียนนำเสนอ ได้แก่ 1) ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ 2) ราคาถูกหรือแพง ไม่ใช่โจทย์สำคัญการขายสินค้าราคาต่ำ อาจจะหมายถึงกำไรสูงได้ 3) การ สร้างตลาดจำเพาะแบบแมส เป็นสิ่งที่ต้องระลึกอยู่เสมอ

แนวคิดที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ ถือได้ว่าฮือฮาอย่างมาก ในตลาดยุคดิจิตอล เพราะสามารถให้คำตอบหลายอย่างที่มีคนแสวงหากันมายาวนานในยุคดอทคอมกันจนกระทั่งถึงยุคใหม่ที่เรียกว่ายุค Web 2.0 และ Globalozation 3.0 ซึ่งตัวแปรด้านดีมานด์มีความสำคัญมากกว่าตัวแปรด้านซัปพลาย

ถือเป็นหนังสือแนว popular idea แบบเดียวกับหนังสือ รีไซเคิลแนวคิดเก่าๆ อย่าง The Wisdom of Crowd หรือ The World is Flat ที่น่าสนใจ แต่สำหรับคนที่ใจร้อนบางคน อ่านแล้ว อาจจะรู้สึกว่า ไม่คุ้ม เพราะแนวคิดหลักที่เป็นสาระของหนังสือนั้นสรุปรวบยอดเอาไว้ที่ Introductions หมดเรียบร้อยแล้ว ส่วน ที่เหลือของหนังสือก็เป็นแค่ส่วนขยายที่มีไว้สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านโมเดลธุรกิจบนเครือข่ายดิจิตอลมาก่อน

สำหรับคนที่เคยล้มเหลว หรือยังงมโข่งกับการหาโมเดลธุรกิจบนเครือข่ายดอทคอมทั้งหลาย หนังสือนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากและราคาไม่แพงเลย สำหรับการเข้าถึงตลาดด้วยกลยุทธ์ ที่เรียกว่า bypassing

รายละเอียดในหนังสือ

Introduction สรุปสาระของแนวคิดว่าด้วย The Long Tail ที่กำลังโด่งดังอย่างได้ใจความและย่นย่อ

1. The Long Tail เทคโนโลยีไอที ทำให้ตลาดสินค้าเป็นโครงสร้าง จากตลาดที่สินค้าขาดแคลนและเป็นแบบเหมาโหล มาสู่ตลาดแบบเหลือเฟือ และมีช่องทางเลือกในการบริโภคเป็นตลาดจำเพาะ ที่มีลูกค้ามหาศาล เปิดช่องให้กับตลาดที่รายใหญ่ทิ้งไปเพราะไม่คุ้มแก่รายย่อยใหม่สบช่องเข้าตลาดและยึดครองได้ง่าย เนื่อง จากต้นทุนของการเข้าตลาดต่ำลง

2. The Rise and Fall of the Hit วัฒนธรรมการบริโภคสินค้าแบบแมสที่เน้นยอดขายระเบิดเถิดเทิง กำลังผ่านพ้นไป เพราะโทรคมนาคมและไอทีที่สนองตอบความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันไปแสวงหาการบริโภคที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนมากขึ้น

3. A Short History of the Long Tail ความหลากหลายของตลาดจำเพาะที่เคยถูกมองข้ามไป เปิดช่องให้กับการสร้างตลาดโดยมองหาช่องโหว่ที่รายใหญ่มองข้าม แล้วเข้ายึดครองเอาไว้ก่อน กลายเป็นตลาด Long Tail ขึ้นมา

4. The Three Forces of the Long Tail พลังขับ 3 ข้อใหญ่ของทฤษฎีที่พิจารณาจากเส้นดีมานด์เป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นการมองกลับกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการขาดแคลนทรัพยากร มาเป็นความเหลือเฟือของทรัพยากร ซึ่งตีความถอดรหัสออกมาเป็นหลักการ 6 ข้อใหญ่คือ

1) ทุกตลาดสินค้าเป็นตลาดจำเพาะ
2) ต้นทุนของการเข้าถึงตลาดกำลังลดต่ำลงอย่างรุนแรง
3) เครื่อง มือในการสร้างดีมานด์ต้องถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อชักจูงผู้บริโภค ไม่ได้เกิดขึ้นเอง
4) การค้นหาตลาดที่ "หางยาว" ในช่วงเส้นดีมานด์ แบนราบ มีเสถียรภาพตลาดสูงกว่า
5) การสร้างยอดขายไม่สำคัญ เท่ากับส่วนต่างของผลตอบแทน
6) ดีมานด์ของตลาดภายใต้กรอบนี้จะคงเส้นคงวา และยึดครองได้ยาวนานกว่า

5. The New Producers การเข้าถึงและค้นพบแหล่งผลิตสินค้าใหม่ๆ ที่มีขนาดเล็ก เป็นสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อโมเดลธุรกิจอย่างมาก การเชื่อมโยงเครือข่ายทางด้านซัปพลาย จะทำให้มีสินค้าเหลือเฟือในการเสนอต่อผู้บริโภค เท่ากับกำลังสร้างงานออกแบบที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

6. The New Markets การสร้างซัปพลายเออร์แบบหลอมรวมจะทำให้สามารถรวมเอาความหลากหลายของสินค้าเข้ามานำเสนอเป็นทางเลือกแก่ลูกค้าได้สะดวกโดยไม่ต้องสต็อกสินค้าในมือมาก แต่เป็นสินค้าคงคลังตามดีมานด์หรือ inventory on demand ซึ่งจะช่วยให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว

7. The New Tastemakers การสร้างเครื่องมือขับเคลื่อนดีมานด์ ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสร้างธุรกิจที่ขาดไม่ได้ เครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือ วัฒนธรรม และการสร้างภูมิปัญญาร่วมในฐานะ เครื่องชี้นำทาง หรือ navigation layer เพื่อให้ลูกค้ากลายมาเป็นผู้สร้างตลาด และเปิดเผยดีมานด์ด้วยตัวเอง

8. Long Tail Economics การนำเสนอเพื่อคัดค้านหลักการพาเรโต ที่ว่าด้วย 20/80 เกี่ยวกับโอกาสของความสำเร็จ/ล้มเหลวของการเข้าสู่ตลาด เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิตอล กำลังทำให้ต้นทุนของ การกระจายสินค้าลดต่ำลงอย่างรุนแรง จนเปิดทางให้รายใหม่เข้าตลาดง่ายขึ้น และทำให้แนวคิด "หางยาว" (แข่งขันในตลาดจำเพาะ) สร้างกำไรได้ดีกว่า "หัวสั้น" (แข่งขันในตลาดแมส)

9. The Short Head จุดบกพร่องของคนที่พยายามเข้าสู่ตลาดที่มีรายใหญ่กว่ายึดครองอยู่แล้ว โดยไม่สนใจกับตลาดเบ็ดเตล็ดที่มีโอกาสรออยู่มากมาย และยังหลงละเมอกับกฎเศรษฐศาสตร์ธุรกิจเก่าๆ ในเรื่องการขาดแคลนทรัพยากร

10. The Paradise of Choice ไอทีทำให้การเข้าถึงข้อมูลกลายเป็นต้นทุนที่ต่ำมาก และเพิ่มโอกาสให้กับการค้นหาทรัพยากรมาก มายให้ผู้บริโภคเลือก แต่ความหลากหลายยังไม่เป็นโอกาสทางธุรกิจได้ หากขาดเครื่องมือในการสร้างดีมานด์ที่เหมาะสม เพื่อเข้าสู่กลไกเศรษฐกิจแห่งความหลากหลาย (ที่จำเพาะ)

11. Niche Culture การเปลี่ยนวัฒนธรรมบริโภคจากการเลือกซื้อ มาเป็นการมุ่งซื้อสิ่งที่เหมาะกับอัตลักษณ์ของตนเอง ทำให้ตลาดสินค้าแบบแมสที่มุ่งสร้างสินค้า "ขายดี" กลายเป็นสิ่งพ้นสมัย

12. The Infinite Screen อิทธิพลของเทคโนโลยีดิจิตอล ที่ทำให้โมเดลธุรกิจเก่าๆ ใช้การไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ที่เร็วขึ้น มีขนาดตลาดจำเพาะที่เล็กลง และมีระยะเวลาของวงจรตลาดแมสที่สั้นลง

13. Beyond Entertainment โอกาสและทางเลือกของผู้บริโภคที่จะเข้าถึงสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตนเองด้วยต้นทุนต่ำ และเปิดให้มีส่วนร่วม เป็นความพึงพอใจใหม่สำหรับตลาดร่วมสมัย ด้วยกรณีศึกษาน่าสนใจ

14. Long Tail Rules ว่าด้วยกฎ 9 ข้อของโมเดลธุรกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายหลัก 2 ประการคือ ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ และช่วยกัน ค้นพบมัน ประกอบด้วย

- สร้างสินค้าคงคลังเทียมด้วยไอที
- ทำให้ลูกค้าทำงานแทนด้วยเทคนิค UGC
- กระจายสินค้าหลายช่องทาง
- สร้างผลิตภัณฑ์หลายรูป
- กำหนดสินค้าหลากหลายราคา
- กระจายข้อมูล
- เสนอขายสินค้าที่จำแนกทุกทางเลือก
- เชื่อมั่นในตลาดที่เข้า
- เข้าใจพลังอำนาจของการให้ฟรี

5/29/07

OnlineADs-Hot trend โฆษณาในเน็ตไม่เลิกร้อนแรงง่ายๆ

วันนี้ไปอ่านข่าวที่เว็บผู้จัดการมา ก็เห็นข่าวน่าสนใจข่าวนึงเลยเก็บไว้ในเว็บนี้ครับ เกี่ยวกับเรื่องเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดการโฆษณาออนไลน์ครับ

นักการตลาดสหรัฐเล็งโลกออนไลน์ เชื่อเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างแบรนด์ได้ในราคาที่หลากหลาย ชูจุดเด่นเป็นสื่อเพื่อการตลาดยุคใหม่ที่ยืดหยุ่น-โต้ตอบกับลูกค้าได้ตรงกลุ่ม พร้อมทั้งคาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจโฆษณาออนไลน์นี้จะยังคงเพิ่มสูงต่อไป

กลายเป็นธุรกิจที่ห่างไกลจากคำว่า "อิ่มตัว" ไปเสียแล้ว กับวงการโฆษณาผ่านทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเส้นทางหลักของการบริโภคข่าวสาร สาระ ความบันเทิง ของผู้บริโภคยุคใหม่ไปแล้วเรียบร้อย และทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาเริ่มลืมตาอ้าปากได้มากขึ้นกับรายได้โฆษณาที่ไหลบ่าเข้ามาในวงการนี้

จากการเปิดเผยของ Interactive Advertising Bureau หรือ IAB เกี่ยวกับตัวเลขรายได้ค่าโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตของสหรัฐอเมริกาในปี 2006 พบแซงหน้ารายได้จากปี 2005 ไปด้วยตัวเลข 16,900 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 592 พันล้านบาท) พร้อมทั้งเผยว่า รายได้ของธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไปด้วย

นอกจากนั้น IAB และไพรส์วอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ได้ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตของธุรกิจโฆษณาในตลาดแห่งนี้เพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ภายในปีเดียว (2005-2006) อันเป็นผลมาจากเหล่านักโฆษณา และบรรดาเอเจนซี่เริ่มมองเห็นความสำคัญ และหันมาทุ่มงบจำนวนมากบนอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างความตระหนักในแบรนด์สินค้าให้เกิดแก่ผู้บริโภคหรือนักท่องเน็ต หรือเพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจในตัวสินค้า


แรนดาลล์ โรเทนเบิร์ก (Randall Rothenberg) ผู้บริหารของ IAB กล่าวว่า "ผู้ที่อยู่ในแวดวงโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบันมีความเชื่อมั่นสูงมากว่า การทำตลาดบนแพลตฟอร์มใหม่ของโลกออนไลน์แห่งนี้จะช่วยให้ผู้ค้าต่อสายตรงถึงผู้บริโภคของเขาได้"

เดวิด ซิลเวอร์แมน พาร์ทเนอร์ของไพรส์วอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์กล่าวว่า "อัตราการเติบโตในโฆษณาแบบอินเทอร์แอคทีฟ (แบบสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้) ในปี 2006 สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า สื่อดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการทำตลาดในยุคปัจจุบัน และนักการตลาดควรให้ความสำคัญ ถือเป็นอีกหนึ่งด่านที่สามารถวัดความสามารถของนักการตลาด ว่าจะสร้างแบรนด์ด้วยสื่อชนิดใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามจุดมุ่งหมายได้มากเพียงไร"

จากสถิติดังกล่าว IAB และไพรส์วอเตอร์เฮ้าส์คาดว่า บรรดาเว็บไซต์ จะสามารถนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาพัฒนารูปแบบการโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต ได้อีกหลายทางเลยทีเดียว


อ่านๆแล้วก็คิดถึงบ้านเรา ในเมืองไทยแม้ว่าตอนนี้จะยังเงียบๆอยู่ หลายๆบริษัทก็พยายามโหม ประชาสัมพันธ์ ถึงประโยชน์ของการใช้งาน ให้ข่าวสาร รวมทั้งจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้และสนใจนำไปใช้ ทองก็คือทองอยู่วันยังค่ำ เชื่อว่าอีกไม่นานสื่อชนิดใหม่นี้ ผมเชื่อว่าจะแทนที่สื่อเก่าๆทีละน้อยๆครับ

เครดิต เว็บผู้จัดการ 26 พฤษภาคม 2550 13:15 น.

5/28/07

HTML optimize ลดขนาดเพิ่มสปีด

บทความนี้ผมไปเจอมาจากเว็บพันทิพผู้แปลก็แปลจากต้นฉบับจาก mozilla ครับ ที่เอาเรื่องนี้มาลง ก็เห็นว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่บางท่านอาจจะลืมๆไปบ้างแล้ว

ทิปการเขียน HTML ให้โหลดเร็วๆ

1. ลดน้ำหนักมันซะบ้าง
ไฟล์ขนาดยิ่งใหญ่ก็ยิ่งต้องโหลดนาน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้นการลดน้ำหนักของไฟล์ HTML ลง ด้วยการลบ whitespaces (ช่องว่าง, แท็บ, การขึ้นบรรทัดใหม่), คอมเมนต์ทั้งหลายที่ไม่จำเป็น และย้ายสคริปต์,CSS ต่างๆไปเก็บแยกไฟล์ไว้ ก็ช่วยลดขนาดของไฟล์ลงไปได้ โดยไม่กระทบกระเทือนกับรูปหน้าโดยรวมของเพจนั้นๆ

ทูลเช่น HTML Tidy สามารถช่วยตรงนี้ได้ และยังมีทูลบางตัวที่สามารถบีบอัดไฟล์ javascript ได้ด้วย

2. ใช้ไฟล์ภายนอกให้น้อยที่สุด
จริงอยู่ที่การแยก script, css ออกจาก html จะลดขนาดของไฟล์ html ลงได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะมีลิ้งค์ไปยังไฟล์มากเกินไป (รวมทั้งรูปด้วย) เพราะยิ่งลิ้งค์ไฟล์มาก ก็จะยิ่งเสียเวลาในการโหลด Header ต่างๆของ HTTP Protocol

3. เรียกไฟล์จากโดเมนอื่นๆให้น้อยที่สุด
การลิ้งค์ไฟล์จากเว็บอื่นๆนั้น จะมีเวลาส่วนหนึ่งเสียไปกับการ DNS lookup ดังนั้นจึงไม่ควรโหลดไฟล์จากเว็บอื่นๆให้มากนัก แต่อยากไรก็ตาม ในทางปฎิบัติ หากจำเป็นต้องลิ้งค์ไฟล์จากภายนอก ก็พยายามใช้ให้น้อยที่สุด

4. จัดลำดับการโหลดของข้อมูล
ควรเขียนให้มีการโหลดเนื้อหาของหน้านั้นๆก่อน (เนื้อหา, css, script ที่จำเป็นต่อการแสดงผล) ส่วนของพวก DHTML ที่ปกติต้องรอหน้านั้นโหลดจนครบแล้วให้ทำงาน ก็ควรจะนำไปไว้ที่ท้ายสุดของการโหลด

5. ลดการใช้ inline scripts
การใช้ inline scripts อาจทำให้การแสดงผลต้องยืดเยื้อออกไปมากได้ เพราะตัว browser ต้องมีการคิดคำนวณดูว่าสคริปต์ที่ใส่เข้าไปนั้น มีผลกับการแสดงผลหรือไม่ ดังนั้นควรพยายามลดการใช้ inline scripts และลดการใช้ document.write() เพื่อแสดงผลข้อมูล จะช่วยให้สามารถแสดงผลหน้านั้นๆได้เร็วขึ้น

6. แยกเนื้อหาออกเป็นส่วนเล็กๆ
ลดการใช้ nested table,div หรือการซ้อนแท็กหลายๆชั้น เช่น

<table>
  <table>
    <table>
    ....
    </table>
  </table>
</table>
แต่เปลี่ยนมาใช้เป็น

<table>....</table>
<table>....</table>
<table>....</table>
แทน

7. ระบุขนาดของรูป และตารางลงไปด้วย
การระบุขนาดของรูปและตารางลงไปตั้งแต่แรก จะช่วยให้ตัวแสดงผลของ browser สามารถแสดงผลได้เร็วขึ้น เนื่องจากจะสามารถเผื่อพื้นที่ไว้ให้คอนเทนต์นั้นๆได้เลย ดังนั้นแท็ก img ควรมีการกำหนด height และ width ด้วย และแท็ก table ก็ควรใช้ css table-layout:fixed ไว้ และกำหนดความกว้างของแต่ละคอลัมน์ไว้ด้วยในแท็ก COL หรือ COLGROUP

ตัวอย่าง STRUCTURE ของ HTML
HTML
HEAD
LINK (สำหรับไฟล์ CSS)
SCRIPT (สคริปต์ที่จำเป็นต่อการโหลดหน้านั้นๆ ที่ไม่ใช่ DHTML ต่างๆ)
BODY
แยกข้อมูลเป็นส่วนย่อยๆ จะช่วยให้สามารถแสดงผลได้โดย ไม่ต้องรอให้โหลดเสร็จทั้งหน้า
SCRIPT (สคริปต์ DHTML ต่างๆ เช่น menu ที่ปกติต้องรอให้เพจโหลดเสร็จก่อน แล้วจึงทำงานได้ ควรนำมาใส่ไว้ที่ด้านท้ายของหน้านั้นๆ ไม่ควรนำไปใส่ไว้ส่วน HEAD เพราะจะเสียเวลาโหลด ทำให้แสดงผลช้าลงไปอีก)

เครดิต จากคุณ Dr.Yes แห่งพันทิพดอทคอม
ต้นฉบับ จากhttp://developer.mozilla.org/

5/23/07

Rich Media

คำนิยามของ Rich media หลายคนอาจได้ยินบ่อยๆ บางคนเพิ่งเคยได้ยิน และก็หลายคนที่ไม่รู้จัก ก่อนหน้านี้ผมก็ยอมรับเลยนะครับว่าไม่รู้จักมันมาก่อนเลยจนกระทั่งได้มาทำงานในสายนี้โดยตรง
คำนิยามของ Rich Media ก็คือ Simpler, Faster, More Powerful หรือที่บ้านเราเรียก Rapid Ads นั่นแหละครับ ไม่ใช่แค่เรื่องของรูปแบบของตัวโฆษณาเท่านั้นนะครับ ยังมีเรื่องของการแทรคกิ้งด้วยครับ เพราะโฆษณาพวกนี้ล้วนสร้างขึ้นมาด้วยราคาไม่ถูกเลย ครั้นจะเอามาโชว์ๆ กดแล้วสวย ดูดีอย่างเดียว คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ครับ โฆษณาพวกนี้ทุกครั้งที่คุณคลิกมันจะจับตาคุณดูอยู่ตลอดเวลาจนกว่าคุณจะออกจากไซต์นั้น (บางตัวมันยังแอบอยู่ในเครื่อง คอยตามเราจนกว่ามันจะหมดอายุอีก ด้วยไฟล์คุ้กกี้ครับ)
ยกตัวอย่างใกล้ๆตัวตอนนี้ก็ลองสังเกตุ MSN นะครับ จากเดิมแถบโฆษณาด้านล่างมันจะนิ่งๆ ตอนนี้มันเริ่ม ออกลายครับ มันไม่ได้ติดอยู่แค่กรอบขนาด 235x60 อีกต่อไปครับ เพราะตั้งแต่ rich media บูมๆในไทย(ก็ตอนนี้แหละครับ) บริษัทนึงที่ทำโฆษณาให้ TrueInternet ก็ออกแคมเปญเจ้าปลาฉลามสีฟ้า ใน MSN ครับเรื่มมีการใช้แท้กพิเศษทำให้มันมีภาพเคลื่อนไหว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังแสดงผลแบบ full screen ได้อีกครับ(มันเริ่มออกลายไงครับ บอกแล้ว)
ในยุคต่อไปโฆษณาจะน่าสนใจกว่าปัจจุบันมากกว่านี้เยอะครับ โฆษณาจะน่าคลิกกว่าเดิม หรือทำให้หลายๆคนค้นหาว่าคลิกตรงไหนมันถึงจะสนุกครับ

ผมเอาตัวอย่างโฆษณาของบริษัทนึงมาฝากครับเป็นตัวอย่าง Rich media ที่น่าสนใจมากเลยครับ
***แนะนำให้ใช้ IE เปิดครับ
>>>ADs MI-III ด้านขวาครับ คลิกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น???
>>>โดดน้ำตูมๆครับ
>>>แบบ floting Ads ที่บ้านเราเคยบูมอยู่พักนึงครับ(ตอนนี้รู้สึกจะไม่ค่อยมีคนใช้แล้วนะครับ)
>>>Expenable banner เอาเมาส์ไปวางด้านบนครับ
>>>Polite Banner ครับ ถ้าอยากจะดูต้องขยับครับ ลองดูเด๋วก็เข้าใจครับ

...และอีกมากมายก่ายกองครับ ลองค้นในกูเกิลด้วยคำว่า Rich Media ครับ

 
บทความนี้เป็นลิขสิทธ์ของ นายนพดล ก๊กเครือ หากต้องการนำไปเผยแพร่ กรุณาแจ้งด้วยครับ Golf@capmoo.com
Copyright © 2007 by แคบหมูดอทคอม. All rights reserved.